โรงแรมต้องใช้ Dynamic Pricing ไหม? วิธีตั้งราคาห้องพักให้ได้กำไรสูงสุด
เคยสงสัยไหมว่าทำไมราคาห้องพักของโรงแรมถึงไม่คงที่ บางวันก็แพง บางวันก็ถูก ทั้ง ๆ ที่เป็นห้องประเภทเดียวกัน นั่นเป็นเพราะโรงแรมส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่ได้ใช้วิธีตั้งราคาแบบเดิม ๆ อีกต่อไป แต่หันมาใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า Dynamic Pricing
Dynamic Pricing คืออะไร และจำเป็นสำหรับธุรกิจโรงแรมของคุณไหม?
วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงหลักการทำงาน และวิธีใช้กลยุทธ์นี้เพื่อเพิ่มผลกำไรให้ได้มากที่สุด
เลือกอ่านตามหัวข้อ
1.
Dynamic Pricing คืออะไร?
2.
ทำไมโรงแรมต้องใช้ Dynamic Pricing?
3.
3 วิธีตั้งราคา Dynamic Pricing ให้ได้กำไรสูงสุด
1. Dynamic Pricing คืออะไร?

Dynamic Pricing คือ การตั้งราคาห้องพักแบบยืดหยุ่นที่เปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่าง ๆ แบบเรียลไทม์ ซึ่งตรงข้ามกับการตั้งราคาแบบคงที่ (Static Pricing) ที่ใช้ราคาเดียวตลอดทั้งปี โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา ได้แก่:
อุปสงค์และอุปทาน (Supply and Demand): ถ้ามีดีมานด์สูง ราคาจะสูงขึ้น และถ้ามีดีมานด์ต่ำ ราคาจะลดลงเพื่อกระตุ้นยอดจอง
ฤดูกาลและเทศกาล: ราคาจะสูงขึ้นในช่วงฤดูท่องเที่ยว วันหยุดยาว หรือช่วงที่มีงานอีเวนต์ใหญ่ ๆ
ข้อมูลของคู่แข่ง: ราคาจะปรับตามราคาของคู่แข่งในตลาด
จำนวนห้องพักที่เหลืออยู่: ถ้าห้องพักเหลือจำนวนน้อย ราคาอาจจะสูงขึ้น
2. ทำไมโรงแรมต้องใช้ Dynamic Pricing?

การใช้ Dynamic Pricing ช่วยให้โรงแรมสามารถเพิ่มรายได้และผลกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะเป็นการขายห้องพักในราคาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละวันมากที่สุด
เพิ่มรายได้สูงสุด: โรงแรมสามารถขายห้องพักในราคาที่สูงขึ้นในช่วงที่มีความต้องการสูง ซึ่งช่วยสร้างรายได้สูงสุด (Maximize Revenue) จากห้องพักที่มีอยู่
ลดโอกาสห้องว่าง: ในช่วง Low Season หรือช่วงที่ยอดจองไม่ดี โรงแรมสามารถลดราคาลงเพื่อกระตุ้นยอดจองและลดโอกาสที่ห้องจะว่าง
แข่งขันกับคู่แข่ง: การปรับราคาตามคู่แข่งอย่างรวดเร็วช่วยให้คุณยังคงแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. 3 วิธีตั้งราคา Dynamic Pricing ให้ได้กำไรสูงสุด

- วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก
ก่อนที่จะเริ่มตั้งราคาแบบ Dynamic คุณต้องเข้าใจข้อมูลในอดีตและปัจจุบันก่อน โดยต้องดูข้อมูลหลาย ๆ ส่วนประกอบกัน ได้แก่:
อัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) ย้อนหลัง: ดูว่าแต่ละช่วงเวลาของปีที่ผ่านมา มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเท่าไหร่
กิจกรรมหรืออีเวนต์ในพื้นที่: ตรวจสอบว่ามีงานประชุม, คอนเสิร์ต, หรือเทศกาลใหญ่ ๆ ในช่วงเวลาใดบ้าง
ข้อมูลราคาของคู่แข่ง: ใช้เครื่องมือ Price Shopper เพื่อติดตามราคาของโรงแรมคู่แข่งอย่างสม่ำเสมอ
การวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถคาดการณ์แนวโน้มความต้องการและตั้งราคาได้อย่างแม่นยำ
- ใช้ระบบจัดการรายได้ (Revenue Management System)
การปรับราคาด้วยตัวเองตลอดเวลาเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในโลกปัจจุบัน โรงแรมส่วนใหญ่จึงใช้ระบบจัดการรายได้ (Revenue Management System – RMS) ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการวิเคราะห์ข้อมูลและปรับราคาแบบอัตโนมัติ
ประหยัดเวลาและลดข้อผิดพลาด: RMS ช่วยให้คุณไม่ต้องเสียเวลาในการปรับราคาด้วยตัวเอง และลดโอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดในการตั้งราคา
ตัดสินใจได้แม่นยำ: ระบบจะวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลทั้งจากภายในโรงแรมและจากตลาดภายนอก เพื่อแนะนำราคาที่ดีที่สุดในแต่ละวัน
- ใช้ Pricing Strategy ควบคู่กับ Promotions
การตั้งราคาที่สูงขึ้นในบางช่วงอาจทำให้ลูกค้าบางส่วนลังเลที่จะจอง ดังนั้นการนำเสนอโปรโมชันหรือข้อเสนอพิเศษจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เสนอส่วนลดสำหรับช่วง Low Season: ในช่วงที่ยอดจองน้อย การเสนอส่วนลดพิเศษผ่านเว็บไซต์โรงแรมจะช่วยดึงดูดลูกค้าและกระตุ้นการจอง
สร้างแพ็กเกจพิเศษ: ในช่วง High Season ที่ราคาห้องพักสูงขึ้น ลองสร้างแพ็กเกจที่รวมบริการอื่น ๆ เช่น อาหารเช้า, บริการสปา, หรือแพ็กเกจทัวร์ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้า
สรุปแล้ว Dynamic Pricing ไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่คือเครื่องมือสำคัญที่โรงแรมต้องใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารรายได้และแข่งขันในตลาด การใช้กลยุทธ์นี้อย่างชาญฉลาดจะช่วยให้คุณสามารถสร้างกำไรสูงสุดจากห้องพักทุกห้องของคุณ และทำให้ธุรกิจโรงแรมเติบโตได้อย่างยั่งยืน
หากคุณกำลังมองหาระบบจองห้องพักที่เชื่อมต่อกับ AI Chatbot สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คลิกที่นี่